เช้านี้ที่หมอชิต - เมื่อวานนี้ (23 ก.ค.) เกิดเหตุระทึกหน้าศูนย์การค้า ย่านสะพานเหล็ก เมื่อคนร้ายชักมีดดาบออกมาไล่ฟันพนักงานส่งอาหารแบบไม่เลือกหน้า ได้รับบาดเจ็บ 2 คน ก่อนซิ่งจักรยานยนต์หลบหนี
เจ้าหน้าที่กู้ภัยกำลังเร่งปฐมพยาบาลให้กับพนักงานส่งอาหาร 2 คน ที่ถูกคนร้ายไล่ฟันจนได้รับบาดเจ็บ คือ ชายอายุ 32 ปี ถูกฟันที่หัวไหล่ซ้าย แผลลึกจนเห็นกระดูก และที่เอวขวาอีก 1 แผล ส่วนชายอายุ 26 ปี ถูกฟันที่แขนขวา แผลยาวประมาณ 6 เซนติเมตร ก่อนนำตัวส่งโรงพยาบาล
เหตุเกิดที่หน้าศูนย์การค้าแห่งหนึ่ง ย่านสะพานเหล็ก เขตพระนคร กรุงเทพฯ เมื่อช่วง 14.30 น. วานนี้ (23 ก.ค.)
พยานระบุว่า ก่อนเกิดเหตุเห็นกลุ่มพนักงานส่งอาหารแบบดิลิเวอรีของ 2 บริษัทชื่อดังหลายคน มาจอดรถบริเวณหน้าศูนย์การค้า เพื่อรอรับออร์เดอร์ส่งของตามปกติ ต่อมามีชายรูปร่างผอม สูงประมาณ 160 เซนติเมตร สวมแว่นสายตา สวมเสื้อคลุมสีดำ กางเกงสามส่วน และสวมหมวกกันน็อกแบบครึ่งใบ ขี่รถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้า เวฟ 110ไอ สีดำ-แดง ไม่ทราบหมายเลขทะเบียนมาจอด
จากนั้นเดินลงจากรถ แล้วยิ้มให้กับคนที่มอง พอมาถึงจุดที่พนักงานส่งอาหารนั่งรอรับออร์เดอร์อยู่ ชายคนดังกล่าวได้ใช้มีดดาบยาวประมาณ 1 เมตร ไล่ฟันพนักงานส่งอาหาร 4 คน จนมีผู้ได้รับบาดเจ็บ 2 คน ส่วนอีก 2 คน หนีทัน แล้วคนร้ายก็เดินกลับไปขึ้นรถจักรยานยนต์ที่จอดอยู่ ขณะนั้นมีพลเมืองดีจะตามไปจับตัว แต่คนร้ายยกมีดดาบขึ้นมาขู่ พร้อมบอกว่าอย่ามายุ่ง ก่อนเอามีดเสียบที่หน้ารถ แล้วบิดเครื่องหลบหนีไปทันที
ด้าน ภรรยาของชายอายุ 32 ปี ที่บาดเจ็บ เล่าว่า สามีเป็นพนักงานส่งอาหารมาประมาณ 6 ปีแล้ว ส่วนเธอเพิ่งมาทำงานที่เดียวกับสามีเป็นวันแรก ไม่คิดว่าจะเกิดเหตุขึ้น เพราะแม้ว่าสามีจะใจร้อน และพูดจาโวยวาย แต่ก็ไม่เคยยุ่งกับใคร เมื่อสอบถามขณะยังมีสติ สามีก็ตอบว่า ไม่เคยไม่เรื่องกับใคร ซึ่งตรงจุดเกิดเหตุพนักงานส่งอาหารก็จะรู้จักและสนิทกันหมด โดยลักษณะการก่อเหตุของคนร้าย เหมือนว่าถ้าเจอใครก็จะทำร้ายหมด
เธอบอกด้วยว่า ตอนนี้สามีต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์ และรอดูอาการอย่างใกล้ชิด ด้านตำรวจ สน.พระราชวัง กำลังเร่งตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดตามจุดต่าง ๆ ที่คาดว่าคนร้ายใช้หลบหนี และจะเร่งล่าตัวคนร้ายมาดำเนินคดีต่อไป
July 24, 2020 at 09:15AM
https://ift.tt/3eWrgty
คนร้ายชักมีดไล่ฟันพนักงานดิลิเวอรี หน้าศูนย์การค้าย่านสะพานเหล็ก เจ็บ 2 คน - ช่อง 7
https://ift.tt/3diZ6Jh
Home To Blog
No comments:
Post a Comment